ช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาเราได้ยินชื่อของ “วังเวียง” ค่อนข้างบ่อย ไม่ว่าจะเป็นจากรายการท่องเที่ยว เพจเฟซบุ๊ก หรือแม้แต่บทสนทนาเรื่อยเปื่อยบนโต๊ะอาหารเย็นระหว่างเพื่อนฝูง ใครๆ ก็บอกว่าถ้ามีโอกาสควรมาที่นี่สักครั้ง แล้วจะหลงรักความเรียบง่าย ความสมบูรณ์ของทรัพยากรป่าไม้ และวิถีชีวิตของผู้คนในประเทศลาว

เราตามมา และพบว่าคำพูดดังกล่าวไม่ได้เกินจริงสักเท่าไรนัก

แต่สำหรับคนที่ยังไม่รู้จักที่นี่ เรามี 6 สถานที่ หลากกิจกรรมมาแนะนำ

รับแสงแรก @ ผาเงิน (Silver Cliff)

สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการปีนเขา พลาดไม่ได้กับการขึ้นมาดูพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้าบน ‘ผาเงิน’

จุดชมวิวผาเงินตั้งอยู่ระหว่างทางไปบลูลากูน 1 (ถ้ำปูคำ) ถือเป็นหนึ่งในจุดเช็กอินที่นักท่องเที่ยวสายลุยต้องมาแวะให้ได้ และด้วยระยะทางกว่า 650 เมตร บ่อยครั้งที่ยอดเขาของที่นี่อยู่เหนือระดับความสูงของเมฆ นอกจากตะวันยามเช้าแล้ว เราจึงเห็นทะเลหมอกปกคลุมไปทั่วบริเวณได้ด้วยเช่นกัน ถือเป็นโบนัสของคนตื่นเช้าที่ยอมลำบากปีนมาถึงข้างบนนี้

ถึงแม้เราจะแนะนำให้มาตอนเช้า แต่จริงๆ จุดชมวิวผาเงินเปิดให้ชมตลอดทั้งวัน โดยมีค่าบริการคนละ 10,000 กีบ (ประมาณ 40 บาท) ใครที่อยากขึ้นไปสัมผัสวิวแบบพาโนราม่าด้วยตัวเองก็อย่าลืมฟิตร่างกายให้พร้อม เพราะทางเดินขึ้นผาของที่นี่ชันและลื่นมาก จึงควรเตรียมรองเท้าที่เหมาะสำหรับการปีนเขามาด้วย และด้วยข้อจำกัดเหล่านี้ทำให้เจ้าหน้าที่ไม่แนะนำให้ผู้ที่มีอายุเกิน 60 ปี, ผู้ที่มีน้ำหนักเกิน 70 กิโลกรัม และผู้ที่มีโรคประจำตัวขึ้นไปด้านบน เพราะอาจเกิดอันตรายได้

เป็นความจริงที่ดวงอาทิตย์ยังคงขึ้นในทิศตะวันออกเช่นทุกวัน แต่เราสามารถทำให้มันพิเศษได้ด้วยการย้ายสถานที่เฝ้ามอง

พักผ่อนหย่อนใจ @ Blue Lagoon

นี่คือหนึ่งในสถานที่ยอดฮิตที่ใครมาเที่ยววังเวียงก็ต้องแวะมาเช็กอิน

สระน้ำจืดสีมรกตหรือที่เรียกว่าบลู ลากูน (Blue Lagoon) เดิมทีเป็นสระที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ และมีการขุดเพิ่มเติมขึ้นมาอีกในภายหลัง ทำให้วังเวียงมีบลู ลากูนกระจายตัวอยู่หลายมุมเมือง สาเหตุที่น้ำในสระเป็นสีฟ้าหรือเขียวมรกตเช่นนี้ เป็นเพราะน้ำที่ผุดขึ้นมาจากบาดาลมีแหล่งกำเนิดมาจากภูเขาหินปูนที่โอบล้อมวังเวียงเอาไว้ ซึ่งในหินปูมีแคลเซียมคาร์บอเนตซึ่งทำให้น้ำตกตะกอน จึงเหลือเพียงความใสบนผิวน้ำเท่านั้น

สำหรับสระยอดนิยม คือ บลูลากูน 1 ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับตัวเมืองวังเวียงมากที่สุด สนนค่าเข้าอยู่ที่ 10,000 กีบ (ประมาณ 40 บาท) ต่อคน บลู ลากูน 1 นี้มีชื่อเรียกสำหรับคนท้องถิ่นว่า ‘ถ้ำปูคำ’ หรือถ้ำปูทอง (คำว่า ‘คำ’ ในภาษาลาวแปลว่าทอง) มีตำนานพื้นบ้านเล่าว่า ทุกๆ วันพระจะมีปูคำตัวใหญ่ออกมาปรากฏกายให้เห็น แต่ในปัจจุบันไม่มีใครพบแล้ว

“สงสัยนักท่องเที่ยวจะเยอะไป” พี่คนขับรถที่เล่าให้ฟังบอกอย่างอารมณ์ดี

ต่อกันที่ “บลู ลากูน 3” ที่นี่ไปลำบากมาก ใช้เวลาเดินทางเป็นชั่วโมง อุปสรรคสำคัญไม่ใช่ระยะทาง แต่เป็นถนนที่ยังเป็นลูกรังอยู่ ทำให้รถยนต์ต้องค่อยๆ ไป แต่สิ่งที่คุณจะได้คือสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางธรรมชาติที่แท้จริง ที่สำคัญคือคนไม่พลุกพล่าน เหมาะสำหรับคนที่ต้องการความสงบและการพักผ่อน

ส่วนตัวเราค่อนข้างชอบบลู ลากูน 3 มากกว่า เพราะคนน้อยกว่า มีกิจกรรมให้ทำมากกว่า เช่น พายเรือคายัค โหนสลิงลงน้ำ บาร์ไม้กลางน้ำสำหรับเล่นมวยทะเล ฯลฯ แต่ข้อเสียใหญ่มากๆ ก็คือการเดินทางนั่นแหละ

เริ่มต้นการผจญภัย @ Zip Line

หากตอนเด็กๆ เคยฝันอยากโหนเถาวัลย์แบบทาร์ซานไหม?

ถ้าใช่, มาทำให้ความฝันนั้นเป็นจริงกันเถอะ!

ที่บลู ลากูน 1 หรือถ้ำปูคำมีกิจกรรม Zip Line เอาไว้ให้บริการสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการผจญภัยด้วยค่ะ แต่ทาร์ซานยุค 4.0 แบบเราเปลี่ยนจากการโหนเถาวัลย์เป็นโหนสลิงแทน โดยที่นี่มีสถานีทั้งสิ้น 12 สถานีด้วยกัน รวมระยะทาง 1 กิโลเมตร เรื่องความปลอดภัยไม่ต้องห่วง เพราะมีเจ้าหน้าที่ประจำอยู่ทุกจุด รวมไปถึงสายสลิงที่เป็นแบบคู่ซึ่งให้ความปลอดภัยที่มากกว่า ผู้ที่จะเล่นต้องสวมอุปกรณ์เซฟตี้ให้เรียบร้อยก่อนขึ้นไป ไม่ว่าจะเป็นหมวก ถุงมือ ที่รัดสลิง ซึ่งทางผู้ให้บริการเตรียมไว้ให้เรียบร้อย สนนราคาอยู่ที่ 150,000 กีบต่อคน (แต่ถ้าจ่ายด้วยเงินบาท จะสนนราคาอยู่ที่ 650 บาท ซึ่งเทียบแล้วจ่ายเป็นกีบถูกกว่าค่ะ) 

ชิมเบเกอรี่เจ้าดัง @ Laung Prabang Bakery

ร้านเบเกอรี่เจ้าดังจากหลวงพระบางที่มีสาขาในวังเวียง ที่นี่เปิดให้บริการตั้งแต่ 07.00 - 22.00  น. ตัวร้านตั้งอยู่บนถนน Kangmuong สังเกตหัวมุมถนนจะมีร้าน k-mart สามารถมานั่งพักชิลๆ ได้ ตัวร้านกว้างขวาง บรรยากาศน่านั่งทีเดียว

เบเกอรี่ของที่นี่ชิ้นใหญ่และรสชาติดี ราคาถือว่าค่อนข้างแพงเมื่อเทียบกับค่าครองชีพของลาว แต่ถ้าคำนวณกับร้านเบเกอรี่ดีๆ ในไทยราคาถือว่าพอกัน พนักงานบอกว่าบอกว่าขนมขายดีคือชินนามอนปัง ซึ่งพอได้ชิมก็อร่อยจริงๆ ชิ้นใหญ่มาก ราคาจ่ายด้วยเงินไทยอยู่ที่ 90 บาท (ราคา 22,000 กีบ) กินคู่กับกาแฟหนึ่งแก้วก็นับเป็นมื้อเช้าที่ไม่เลว

ล่องแม่น้ำซอง มองตะวันตกดิน

แม่น้ำซองเป็นแม่น้ำสายหลักของชาววังเวียงที่หล่อเลี้ยงและโอบอุ้มทุกชีวิตเอาไว้ ตั้งแต่วันแรกที่มาถึงที่นี่ สิ่งแรกที่เห็นและประทับใจคือวิถีชีวิตของคนริมน้ำที่ยังดำเนินอยู่จริง ชาวบ้านยังพายเรือหาปลา เด็กๆ ยังกระโดดน้ำเล่น หลายคนยังแม่น้ำเป็นเส้นทางสัญจรไปมา ซึ่งเรามองว่าวิถีชีวิตแบบนี้ช่างมีเสน่ห์ และเหมาะกับคำว่า ‘สโลว์ไลฟ์’ ในความหมายที่แท้จริง

นักท่องเที่ยวส่วนมากที่มาวังเวียงมักจะไม่ค่อยพลาดที่จะได้ล่องแม่น้ำซองเพื่อชมทัศนียภาพริมฝั่งน้ำ ไม่ว่าจะเป็นการล่องห่วงยางจากต้นน้ำไปสู่ปลายน้ำ หรือจะเป็นการพายเรือคายัคแบบเรา

อุปกรณ์ทั้งหมดสามารถเช่าได้จากร้านในเมือง สำหรับการพายเรือคายัค หากใครที่พายไม่เป็นก็จะมีเจ้าหน้าที่คอยพายให้ เราจะนั่งชิลล์ๆ ชมวิวเพียงอย่างเดียว หรือจะขอออกแรงเป็นฝีพายกับเขาด้วยก็แล้วแต่ชอบใจ

วังเวียงเป็นเมืองที่ธรรมชาติยังอุดมสมบูรณ์อยู่มาก ต้นไม้ยังเขียวชะอุ่ม ภูเขายังตั้งตระหง่าน ธารน้ำยังใส และการได้มองพระอาทิตย์ลับเหลี่ยมเขากลางแม่น้ำซองถือว่าเป็น magic moment ที่ควรบันทึกไว้ในความทรงจำตลอดชีวิต

เอนจอยไนท์ไลฟ์ @ Sakura Bar

ว่ากันว่า... ที่นี่คือสถานที่ที่สนุกที่สุดในวังเวียง!

ที่ Sakura Bar คุณจะได้สนุกสนานไปกับไนท์ไลฟ์ในวังเวียงกับ ดนตรี EDM ไฟสลัว ฟลอร์เต้นรำ และเครื่องดื่มราคามิตรภาพ รวมไปถึงเพื่อนนักท่องเที่ยวจากชาติต่างๆ

ที่นี่แบ่งเป็นโซนด้านนอกและด้านใน โดยด้านนอกจะมีโต๊ะยาวๆ 3 ตัวตั้งเรียงกัน เหมาะสำหรับคนที่มาเป็นแก๊งใหญ่ กำแพงด้านหลังมีไฟนีออนและกราฟฟิตี้เพ้นท์ทับไว้ ให้บรรยากาศสตรีทนิดๆ ส่วนด้านในไฮท์ไลท์คือโซนตรงกลางที่มีเวทียกระดับเหนือพื้น ให้คนมาเต้นจอยกันได้ ยิ่งดึกก็ยิ่งคึก แถมยังได้ดีเจอิมพอร์ตมาจากเมืองนอก สีสันและความอึกทึกของ Sakura Bar จะทำให้คุณลืมไปชั่วขณะเลยว่ายังอยู่ในวังเวียงที่แสนเงียบสงบ

ถ้าเทียบกับอาหาร วังเวียงไม่ใช่เมืองที่รสชาติจัดจ้าน แต่เป็นอาหารเพื่อสุขภาพที่อร่อยกลมกล่อม มีกิจกรรมให้ทำมากมายตั้งแต่ตื่นเต้นเร้าใจ ไปจนถึงการนั่งเล่นริมน้ำเฉยๆ สำหรับผู้ที่ต้องการมาเที่ยววังเวียง สามารถโดยสารมากับสายการบินไทยสมายล์ โดยมาลงที่เวียงจันทน์ และต่อรถไปอีกประมาณ 4 ชั่วโมง รวมแล้วใช้เวลาเดินทางเพียง 5 ชั่วโมงเท่านั้น เพราะเมื่อประหยัดเวลากว่าก็เที่ยวได้มากกว่า

รีบหาวันหยุดแล้วออกไปเที่ยวกันเถอะ